วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

การสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง


                                          

วิธีสร้างความมั่นใจในการทำงาน

มั่นใจ,วัยทำงาน


      ทุกวัยมีความกลัวที่ต่างกัน และความกลัวนั่นเองที่ทำให้เราหมดความมั่นใจ ซึ่งนั่นไม่ทำให้คุณก้าวหน้าเลย มาดูกันซิว่าความกลัวในแต่ละวัยคืออะไร และวิธีจะเอาชนะความกลัวให้ได้

  20
วัยแห่งความไม่มั่นใจ
      ตอนอายุ 20 เป็นวัยที่คนเราไม่มีความมั่นใจในเรื่องงาน เราไม่เชื่อว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่เชื่อว่าตัวเองสามารถทำสิ่งที่ยากๆ ได้ซึ่งก็ไม่ผิด และคุณไม่ได้เป็นคนแบบนั้นคนเดียว ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าทั้งหมดเกิดจากคุณยังไม่มีการงานที่มั่นคง และก็ยังไม่มีครอบครัวด้วย ดังนั้น ต้องคิดว่าตัวเองทำได้

อะไรทำให้คุณรู้สึกแย่
คุณต้องยอมรับว่าตัวเองด้อยอาวุโสและขาดทักษะ ดังนั้น จึงมีเรื่องมากมายที่คุณไม่รู้การตระหนักถึงความไม่รู้ของตัวเองจะทำให้คุณไม่เสียเซลฟ์ยามแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะคนวัย 20 มากมายที่พยายามแก้ปัญหาแบบคนวัย 40 ซึ่งการแกล้งทำเป็นว่าตัวเองรู้หรือมากประสบการณ์จะยิ่งทำให้คุณหมดความนับถือตัวเองเข้าไปใหญ่

วิธีสร้างความมั่นใจ
เมื่อไหร่ที่คุณคิดว่า ฉันทำไม่ได้หรอก หยุดและคุยกับตัวเองว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น แล้วคุณจะพบว่าตัวเองสามารถทำได้ ลองโทรศัพท์ไปปรึกษาเพื่อนวัยสี่สิบ ประสบการณ์ของเธอจะช่วยคุณได้มากกว่าคุยกับเพื่อนวัยเดียวกัน


30
วัยแห่งการรู้จักตัวเอง

       ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าจะจัดการเรื่องต่างๆ อย่างไร คุณสามารถเอาชนะความท้าทายต่างๆ เดดไลน์ ที่น่ากลัวและแฟนที่แสนห่วย คุณสามารถหาตัวเองเจอว่ามีพรสวรรค์ในเรื่องไหน และเหมาะกับการทำงานอะไร คุณจะรู้ข้อดีและข้อด้อยของตัวเอง

อะไรทำให้คุณรู้สึกแย่
คุณต้องรับสึกหนักสองทาง ไหนจะเรื่องงานและเรื่องครอบครัว ผู้หญิงโสดวัย 30 มากมาย รู้สึกว่าชีวิตไม่สมดุลเลย ส่วนคนที่เป็นแม่ก็กลัวว่างานการจะไม่รุ่ง เพราะวัย 30 เป็นวัยที่เริ่มมีครอบครัว คุณอาจจะเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่การหมกหมุ่นว่าคนอื่นเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้วจะยิ่งทำให้คุณรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่

วิธีสร้างความมั่นใจ
เลิกทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ยอมรับว่าบางเรื่องเราก็ทำได้ดีสุดแค่นี้เอง และก็หาเวลาให้ตัวเองบ้าง เหมือนผู้หญิงมากมายที่มีเวลาให้แต่งานลูกและสามีจนลืมตัวเอง หันมาสนใจการออกกำลังกายจะช่วยให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น


40
วัยแห่งความมั่นใจ

       “พออายุขนาดนี้ ผู้หญิงส่วนใหญ่ต่างมั่นใจในตัวเองกันทั้งนั้น” นักจิตวิทยาบอกเช่นนั้น ประสบการณ์ที่มีสามารถเอาชนะคำถากถางและคุณก็จะยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น ไม่ว่าจะเป็นขนาดหน้าอก บ้านหรือเงินเดือนที่ได้ ยิ่งอายุมากขึ้น คุณก็ผ่านเรื่องโหดๆ มาเยอะ เช่น ตกงาน เพื่อนตาย ซึ่งความสูญเสียนั่นเองที่สร้างเสียงจากภายในที่บอกว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็ยังต้องการมีชีวิตต่อ”

อะไรทำให้คุณรู้สึกแย่
ง่ายๆ ก็วิกฤตวัยกลางคนไง ถ้าคุณยังไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองวาดหวัง คุณจะเริ่มกังขาในตัวเองแล้วว่า เราแน่จริงกับเขาหรือเปล่า

วิธีสร้างความมั่นใจ
ผลการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายสร้างความรู้สึกว่า ฉัน-สามารถ-ทำได้ ฝึกความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออย่างไบเซ็บ ซึ่งจะเห็นผลชัดเจน ถ้าทำอย่างจริงจัง เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่น ทำอาหารต่างชาติ การมีทักษะใหม่ๆ จะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเจ๋ง และที่ขาดไม่ได้ก็คือแก๊งค์เพื่อน แล้วคุณจะไม่รู้สึกว่าตัวเองเดียวดาย






 ที่มา   http://women.sanook.com/work/www/www_47278.php

การดื่มน้ำอุ่นเพื่อสุขภาพที่ดี

การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

 ประโยชน์สุขจากการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ

            “ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ” ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 75% ของน้ำหนักตัว เราอาจจะอดอาหารได้เป็นเดือน ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถขาดน้ำได้เกินกว่า 3 -7 วัน การดื่มน้ำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติ และมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันการขับถ่ายของเสียก็ทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื่น มีเลือดฝาด และไม่ปวดหลังหรือบั้นเอว เพราะสุขภาพไตแข็งแรง การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว จะช่วยทำให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริงน้ำเป็น "อาหารอันวิเศษ " ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร

        น้ำที่ควรดื่ม ควรเป็นน้ำธรรมดาไม่เป็นน้ำที่ร้อนมากหรือที่เย็นจัด แต่ถ้าเป็นน้ำอุ่นๆ เล็กน้อย ก็ควรดื่มในตอนเช้าเพราะจะให้การขับถ่ายดีขึ้น ลำไส้สะอาด

      ระยะเวลาที่ดื่มน้ำ ใน 1 วัน อาจจะเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับตัวเอง
 
ตื่นนอนตอนเช้า ดื่มน้ำ 1 แก้ว
ตอนสาย ดื่มน้ำ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00 – 10.00 น)
ตอนบ่าย ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 13.00 – 16.00 น)
ตอนเย็น ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาร 19.00 – 20.00 น)
ก่อนเข้านอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายดีขึ้น รวมแล้วให้สามารถดื่มน้ำเปล่าได้วันละ 10 แก้ว นอกเหนือจากนั้น ท่านสามารถดื่มน้ำนม น้ำผลไม้, ฯลฯ ได้อีกไม่จำกัด

       เคล็ดลับการดื่มน้ำแบบง่ายๆที่ท่านสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ตามขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1. ดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัว
   ร่างกายคนเรานั้นต้องประกอบด้วยน้ำ 60-70% เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวเรา ตามสูตรที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเอาไว้ คนเราในแต่ละวันต้องดื่มน้ำให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักของตัวเอง

ขั้นตอนที่ 2. ดื่มน้ำตอนเช้าหลังตื่นนอน
   ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว ( 640 ซีซี )ดื่มน้ำอุ่นๆได้ยิ่งดี เพราะน้ำอุ่นนั้นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา และอุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิของร่างกายให้เย็นลง เพราะน้ำลายบูดที่สะสมมาตั้งแต่ขณะนอนหลับ มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ สามารถฆ่าจุลินทรีย์พิษในทางเดินอาหาร และช่วยในการขับถ่ายให้เป็นปกติ

ขั้นตอนที่ 3.ดื่มน้ำให้ถูกเวลา
   ควรดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร 45 นาที หลังจากนั้นจึงรับประทานอาหารได้ตามปกติ เมื่อรับประทานอาหารแล้วไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป เพราะการดื่มน้ำมากระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางการย่อยเป็นไปได้ไม่ดี

ขั้นตอนที่ 4.ดื่มน้ำระหว่างวัน
   10.00น. 14.00น. 16.00น.

ขั้นตอนที่ 5.ดื่มน้ำก่อนนอน
   ดื่มน้ำอุ่นๆ 1 แก้ว

ขั้นตอนที่ 6.หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม
   อุณหภูมิโดยปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียส ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆ สัก 2 องศาเซลเซียส น้ำเย็นจะต้องไปดึงความร้อนของร่างกายมาทำให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย การดูดซึมจึงจะทำงานได้ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้คืนสู่ปกติ

ข้อควรจำ

• ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ 2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปรกติสบายๆ ผู้ที่ทำตามครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เป็นอาการปรกติธรรมดา ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้ และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้น หากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะไม่มีอาการอีก

• ระยะแรก จะเกิดการปัสสาวะบ่อย ครั้งแรกๆ จะมีสีเหลืองข้นขุ่นกลิ่นฉุน เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด

• อย่าดื่มน้ำมากก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหาร ( ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร) และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ทันที ในระหว่างการรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะการดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี

• การทานอาหารในแต่ละมื้อไม่ควร อิ่มจนแน่นท้องเกินไปควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้องหลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง จึงดื่มน้ำตามปรกติ






เอกสารอ้างอิง
1.AGU ธันวาคม 1995 (linked 4/2007) น้ำจำเป็นต่อชีวิต
2.นิตยาสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม
3.www.the-arokaya.com
4.นวลฉวี ทรรพนันทน์.นาฬิกาชีวิต.กรุงเทพฯ,บริษัทฟ้าอภัย
5. www.dwr.go.th

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

ท่านอนบ่งบอกนิสัยคุณ



1. กางแขนกางขา
ช่างรักอิสระเสรี อะไรขนาดนั้น ท่านอนบ่งบอก ความเป็นตัวของตัวเอง อย่างแรง รักความสะดวกสบาย รักสวยรักงาม จับจ่ายใช้สอย สุรุ่ยสุร่าย แต่ก็หาเงินเก่งพอๆ กัน ที่แย่หน่อยคือ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และสนุกกับ การตั้งสโมสร ซะด้วยซิ...

2. นอนเอาขาไขว้กันแบบไขว่ห้าง
ท่านว่า คนที่นอนท่านี้ ไม่ค่อยกล้ายอมรับ ความเปลี่ยนแปลงใดได้ง่ายๆ แถมยังชอบ หมกมุ่นอยู่กับ เรื่องของตนเอง รักที่จะอยู่คนเดียว ข้อดีก็คือ ช่างมีน้ำอดน้ำทน กับเรื่องรอบๆ ตัวได้ดีจริงๆ


3. นอนเอามือไพล่ประสานกัน รองศรีษะ
เขาว่า คนนอนท่านี้เป็นนิจ เป็นคนฉลาด ปราดเปรื่อง ปัญญาเฉียบแหลม ชอบเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ไม่รู้จบ บางครั้งก็มีความคิด แปลก แหวกแนว ที่ชาวบ้านตามไม่ทัน เป็นคนน่ารัก ที่ให้ความสนใจครอบครัว อยู่เสมอ    แต่มันสำคัญที่ว่า   ช่างเป็นคนที่ รักคนยาก ซะเหลือเกิน  ช่างเลือกเกินไปหรือเปล่า


4. นอนคว่ำ
ถ้านอนท่านี้ ได้ทั้งคืน ก็ให้รีบสำรวจได้แล้วว่า เป็นคน ใจคอคับแคบ หรือเปล่า มักจะเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ และต้องการให้ใครต่อใครทำตามความต้องการของตัวเองอยู่เสมอๆ แถมยังเป็น คนสับเพร่า จับจดเสีย

 
5. นอนตะแคง
ท่านี้ เป็นท่านอนของคนที่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และไม่ว่าจะทำงานอะไร ก็มักจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ด้วยความอุตสาหะ มานะ พยายาม อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านว่า คนที่ชอบ นอนตะแคงขวา เหยียดแขนขวา ไปเหนือ ศรีษะละก็   อำนาจ วาสนา ดีนักแล.ด้วย รีบเปลี่ยนท่านอนซะเถอะ

 
6. นอนตะแคงงอขาขึ้นข้างหนึ่ง
ไม่ดีละมั้ง... ท่านว่า ขี้ระแวง สงสัยอยู่ไม่สร่าง โดยไร้เหตุผล จู้จี้ขี้บ่นไม่รู้เวลา นอกจากจะขาด ความเป็นตัวของตัวเองแล้ว อาจจะพาลเป็น โรคประสาทได้ง่ายๆ... ทั้งตัวเอง และคนข้างเคียงน่ะแหล่ะ!?

7. นอนงอตัว
นี่ก็อีกคน... น่าจะเป็น คนขี้อิจฉาตาร้อน กลัวใครเขา จะได้ดีไปกว่าตนซะหมด พูดง่ายๆ ก็คือ ค่อนข้างจะเป็น คนเห็นแก่ตัวอย่างแรง แถมยัง เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบพยาบาทรุนแรงด้วยนะ... ระวังหน่อย



8. นอนทับแขนตัวเอง
คนนี้ตรงกันข้ามกับ คนนอนงอตัว ท่าที่ 7 เลย... ช่างสุภาพอ่อนโยน จริงใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก อะไรจะปานนั้น... แต่ดูเหมือน จะมีกรรมมาบัง เพราะเขาจะเป็นคนที่ ขาดความมั่นใจในตนเอง และขาดความอบอุ่นในชีวิต น่าสงสาร

9. นอนคุดคู้
เป็นคนขี้เหงาอย่างแรง ซึมเศร้าง่าย เพราะไปฝังใจกับเรื่องเศร้าๆ เรืองผิดหวัง หรือสูญเสียในอดีต เป็นคนขี้ระแวง และมีความลังเล ไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกว่า ขาดความรักความอบอุ่น.. เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็

 
10. นอนคลุมโปง
เชื่อไหมว่า ภายนอก เขาคนนี้อาจจะดูผึ่งผาย น่าเชื่อถือมาก แต่ลึกลงไปแล้ว เขาขี้อาย จิตใจอ่อนแอ... เขาชอบมีความลับ และเก็บความลับเก่งด้วยนะ มีอะไร ก็จะแอบเก็บไว้ในใจ แล้วเก็บเอาไปกังวล วุ่นวายใจ วนเวียนอยู่กับปัญหานั้น คนเดียว ไม่รู้จบรู้สิ้นสักที... ไม่รู้ว่า นอนขมวดคิ้วนิ่วหน้า ด้วยรึเปล่า

 
11. นอนเอามือจับอวัยวะเพศของตัวเอง
คนนี้มาแปลก... ท่านว่า จะชอบหมกมุ่น อยู่ใน กามารมณ์ มีความต้องการทางเพศสูง ใจร้อน โกรธง่ายหายเร็ว รักใครหลงใครละก็ เป็นได้หัวปักหัวปำ แบบกู่ไม่กลับ ทั้งๆ ที่เป็น คนมีสติปัญญา เฉลียวฉลาด อยู่หรอกนะ

12. นอนละเมอ
จะซีเรียสอะไรกันได้ขนาดนั้น ก็ไม่รู้... เขาเป็นคนคิดมาก ยังฝังจิตฝังใจกับ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ยอมลีม... สังเกตดีๆ จะเห็นว่า เขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง และจะคล้อยตามคนอื่นอยู่เสมอ... ถ้าเขาละเมอบ่อยมาก และรุนแรงขึ้นละก็ น่าจะเตือน ให้เขาปรึกษาแพทย์ หรือผู้รู้ซะได้แล้ว

13. นอนกัดฟัน
นี่ก็คนเก็บกด... โบราณว่า เป็นคนอาภัพ ซึ่งเขาอาจจะ คิดไปเอง ก็เลยอมทุกข์ เก็บกดความทุกข์ไว้ในใจ หน้าฉากอาจจะดูรื่นเริง แต่แอบไปนอนกัดฟันกรอดๆ ทุกคืน... ปล่อยวางซะบ้างเถอะ จะเอาอะไรกันนักหนากับชีวิต?

14. นอนอ้าปาก
ชวนเขา ไปตรวจสุขภาพร่างกายบ้างเถอะ เพราะ โบราณท่านว่า คนนอนท่านี้ มักจะมีโรคภัยเบียดเบียน ให้สุขภาพไม่แข็งแรง เดี๋ยวจะพาลอายุไม่ยืนซะเปล่าๆ

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ขอบคุณ http://news.clipmass.com/story